พระราชกรณีกิจในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ของ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

พระกรณียกิจอย่างเป็นการครั้งแรกของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวลส์พร้อมกับเจ้าชายแห่งเวลส์เป็นเวลา 3 วัน ในเดือนตุลาคม พ.ศ​. 2524[22] และเสด็จไปร่วมรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524[96] ต่อมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 เสด็จทรงเป็นประธานเปิดไฟต้นคริสต์มาสบนถนนรีเจนต์ ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จประกอบพระกรณียกิจครั้งแรกที่ไม่ได้เสด็จร่วมพระสวามีและพระบรมวงศานุวงศ์[97]

เดือนมิถุนายน 2525 เสด็จร่วมทอดพระเนตรการสวนสนามทหารกองเกียรติยศในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีนาถ และเจ้าหญิงทรงปรากฏพระองค์บนระเบียงมุขพระราชวังบักกิงแฮมต่อประชาชนที่มาเข้าเฝ้า[22]และใน พ.ศ. 2525 เจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศโดยเพียงพระองค์เดียวเป็นครั้งแรก เพื่อเสด็จไปทรงร่วมพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก ต่อมาในปีเดียวกัน เสด็จพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ไปในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และเจ้าหญิงทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of the Crown จากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์[98]

ปี พ.ศ. 2526 เจ้าชายแห่งเวลส์และเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม และทั้งสามพระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองมาวรีในนิวซีแลนด์[22] ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พ.ศ. 2526 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดา ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ ทรงร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน 1983 ที่เมืองเอ็ดมันตัน และเสด็จพระราชดำเนินไปเกาะนิวฟันด์แลนด์เพื่อรำลึกการครบรอบ 400 ปีที่อังกฤษประกาศกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนแห่งนี้[99]

เจ้าหญิงทรงประทานรางวัลแก่ผู้เข้าแข่งขันโปโล เมื่อ พ.ศ. 2529

เมษายน พ.ศ. 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี[22] เสด็จฯ เยือนประเทศอิตาลี และทรงได้พบกับประธานาธิบดีอาเลสซานโดร เปอร์ตินี และเสด็จพระราชดำเนินไปสันตะสำนักแห่งโรม และทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2[100] พฤศจิกายน 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาทำเนียบขาว ทรงเข้าพบประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายโรนัลด์ เรแกน และนางแนนซี เรแกน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง[22]

เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรโขดหินอุลูรู ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. 2526

พ.ศ. 2529 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, สเปน และเสด็จไปทอดพระเนตรงานเวิลด์เอกซ์โป 1986 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา[99]

พ.ศ. 2531 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียเป็นเวลา 10 วัน และทรงเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันชาติออสเตรเลียครบรอบ 200 ปี[22][101]

ในระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ เพื่อทรงร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา [102]

กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และในระหว่างการเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลฮาร์เลม และทรงสร้างความประหลาดใจแก่สาธารณชนเมื่อทรงโอบกอดเด็กอายุ 7 ขวบคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคเอดส์[103]

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไนจีเรียและแคเมอรูน และทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำที่ประธานาธิบดีแห่งแคเมอรูนจัดเลี้ยงถวายที่กรุงยาอุนเด[104] โดยพระกรณียกิจหลักในการเสด็จฯ เยือนแคเมอรูนครั้งนี้คือ การเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลและเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสตรี[104] เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ เยือนประเทศฮังการีเป็นเวลา 4 วัน[103][105] ซึ่งถือได้ว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นสมาชิกราชวงศ์สองพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนอดีตรัฐสมาชิกในกติกาสัญญาวอร์ซอ[103] ทั้งสองได้ร่วมงานเลี้ยงพระยาหารค่ำ ซึ่งจัดถวายโดยประธานาธิบดีรักษาการ อาร์พาร์ด กอนทส์ และเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการแสดงแฟชันที่พิพิธศิลปะประยุกต์ในกรุงบูดาเปสต์[105]

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ[22][106]

เพื่อเป็นการส่งเสริมขวัญกำลังใจให้แก่หน่วยกำลังพลที่ปฏิบัติงานในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เจ้าหญิงแห่งเวลส์จึงเสด็จฯ เยือนประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อทรงพบกับครอบครัวทหารที่เข้าร่วมสงคราม[103] และไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เสด็จฯ เยือนเยอรมนีอีกครั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2534 เพื่อเสด็จเยี่ยมฐานบินเบรอเกน และทรงเขียนจดหมายให้กำลังเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารทางการทหาร ได้แก่ Soldier, Navy News และ RAF News[103]

กันยายน พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนปากีสถานเพียงพระองค์เดียว และร่วมเสด็จฯ เยือนประเทศบราซิลพร้อมกับเจ้าชายชาลส์[107] ระหว่างการเสด็จฯ เยือนบราซิล เจ้าหญิงเสด็จไปที่องค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านและเยาวชนเร่ร่อน[107]

การเสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และประเทศเกาหลีใต้ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535[22] ในการเสด็จฯ เยือนอินเดียคราวนั้น เจ้าหญิงได้เสด็จไปเยี่ยมแม่ชีเทเรซา ในสถานสงเคราะห์เมืองโกลกาตา และทั้งสองจึงได้เริ่มติดต่อกันอย่างไม่เป็นทางการนับแต่นั้นมา[108]

พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอียิปต์ และทรงเข้าพบกับประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร็อก[109]

แม้ว่าในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงประกาศถอนตัวจากกิจกรรมสาธารณะอย่างไม่มีกำหนด แต่เจ้าหญิงไดอานาทรงยืนยันว่าจะยังคงปรากฏพระองค์ในกิจกรรมการกุศลอยู่บ้างเป็นครั้งคราว[22][103] ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งรองประธานสภากาชาดบริติช พระองค์ได้ทรงร่วมเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานฉลองครบรอบ 125 ปี[103] สภากาชาดบริติช ต่อมาสมเด็จพระราชินีนาถทรงส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการให้เจ้าหญิงไดอานาทรงร่วมพิธีรำลึกวันดี-เดย์[22]

กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะพระราชวังหลวงโตเกียว[106]

มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เพื่อทรงเข้าร่วมเทศกาลศิลปะเวนิสเบียนนาเล[110] พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอาร์เจนตินา เป็นเวลา 4 วัน เพื่อร่วมงานการกุศล ทั้งนี้ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโรงพยาบาลดอกเตอร์แองเจิล รอฟโฟ กรุงบัวโนสไอเรส[111]

ในระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนอีกหลายประเทศ เช่น เบลเยียม เนปาล สวิตเซอร์แลนด์ ซิมบับเว บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แองโกลา[22] และอื่น ๆ และระหว่างเวลา 4 ปีที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ เจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินไปร่วมพิธีใหญ่สำคัญ ๆ ในฐานะพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น พิธีรำลึกครบรอบ 50 ปี วันชัยในทวีปยุโรป พ.ศ. 2538 และพิธีรำลึกวันชัยเหนือญี่ปุ่น[22]

งานฉลองวันคล้ายวันประสูติปีที่ 36 ชันษาของพระองค์และเป็นครั้งสุดท้าย จัดขึ้นที่หอศิลป์เทต กรุงลอนดอน และยังตรงกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งหอศิลป์แห่งนี้อีกด้วย[22]

เจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตการกุศล เมืองโมเดนา ประเทศอิตาลี เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2538 โดยมีนักร้องโอเปรา ลูซาโน ปาวารอตตี มาถวายการต้อนรับ

กิจกรรมสาธารณกุศล

ใน พ.ศ. 2526 พระองค์ทรงตรัสถึงความกดดันในสถานะใหม่ของพระองค์กับ นายไบรอัน เพ็กฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐนิวฟันด์แลนด์ ณ ขณะนั้น ว่า “ฉันรู้สึกว่าเป็นการยากมากเหลือเกินที่จะทนต่อความดันในการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ แต่ฉันกำลังเรียนรู้เพื่อจะพร้อมรับมือกับหน้าที่นี้” [112]โดยในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ สาธารณชนต่างคาดหวังให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่สำคัญต่าง ๆ ดังที่สมาชิกพระราชวงศ์ทรงให้การสนับสนุนช่วยเหลือสังคมในช่วงศตวรรษที่ 20 

ไม่นานหลังทรงอภิเษกสมรส เจ้าหญิงทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจด้านการกุศลเพิ่มมากขึ้น ใน พ.ศ. 2531 ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจจำนวน 191 ครั้ง[113] และเพิ่มขึ้นเป็น 397 ครั้งใน พ.ศ. 2534[114]  เจ้าหญิงทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือโครงการหรือองค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายและสุขอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเอดส์และโรคเรื้อน ซึ่งยังไม่มีสมาชิกราชวงศ์พระองค์ใดทรงปฏิบัติมาก่อน สตีเฟน ลี ผู้อำนวยการสถาบันควบคุมการระดมทุนเพื่อการกุศลแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวถึงพระองค์ว่า พระองค์ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการระดมทุนเพื่อการกุศลในศตวรรษที่ 20[115]

นอกจากพระกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยแล้ว พระองค์ยังทรงขยายขอบเขตงานในอีกหลายด้าน เช่น การรณรงค์คุ้มครองสัตว์ และการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด[116]  พระองค์เคยดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือคนไร้บ้าน เยาวชน ผู้ติดยาเสพติด และผู้สูงอายุ ทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ เฮดเวย์ ซึ่งเป็นสมาคมเพื่อผู้ป่วยทางสมอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534-2539[117][118] ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พิพิธภัณฑ์เนเชอรัลฮิสทรี[117][119] และทรงทำหน้าที่ประธานสถาบันดุริยางค์ศิลป์แห่งลอนดอนในพระราชูปถัมภ์[89][120][117]

พ.ศ. 2531 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สภากาชาดบริติชและทรงให้ความช่วยเหลือหน่วยงานย่อยของสภากาชาดบริติชในต่างประเทศ อีกทั้งทรงมักจะเสด็จไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคร้ายและผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลรอยัลบรอมป์ตันเป็นประจำทุกสัปดาห์[103]

พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระองค์แรกของโครงการเชสเตอร์ชายด์เบิร์ธแอพพีล ซึ่งเป็นโครงการด้านการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือด้านการผดุงครรภ์[121] และทรงใช้ช่องทางต่าง ๆ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโครงการแห่งนี้จนได้รับเงินบริจาคจำนวนมากถึง 1 ล้านปอนด์ และทรงประทานพระอนุญาตให้นำพระอิสริยศส่วนหนึ่งของพระองค์ (เคานท์เตสแห่งเชสเตอร์) มาใช้ตั้งชื่อโครงการ[121]

มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนกรุงมอสโก และเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเด็กที่พระองค์ทรงเคยให้ความช่วยด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และมีการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลอินเตอร์เนชันแนลเลโอนาร์โดไพรซ์แก่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งรางวัลนี้จะมอบให้เฉพาะแก่ผู้อุปถัมภ์และบุคคลที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะ การแพทย์ และกีฬา[116] ธันวาคม พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงไดอานาทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมนุษยธรรมแห่งปีจากองค์กรยูไนเต็ดเซรีบรัลพอลซี นครนิวยอร์ก จากการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์องค์กรการสาธารณกุศลต่าง ๆ มากมาย[122][123][124]

ตุลาคม พ.ศ. 2539 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองในการประชุมด้านสุขภาพ ซึ่งจัดการประชุมโดยศูนย์ปีโอมันซุ เมืองรีมีนี ประเทศอิตาลี[125]

หนึ่งวันหลังจากทรงหย่า ไดอานาทรงประกาศลาออกจากองค์กรการกุศลจำนวนกว่า 100 แห่ง เพื่อทรงทุ่มเทพระราชกิจกับ 6 องค์กรหลัก ได้แก่ มูลนิธิเซ็นเตอร์พอยท์ บริษัทอิงลิชเนชันแนลบัลเลต์ โรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ และโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน[126] แต่พระองค์ยังทรงปฏิบัติงานร่วมกับโครงการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดแห่งสภากาชาดบริติช แม้ไม่ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์อีกต่อไป[127][128]

พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาเสด็จฯ พระราชดำเนินไปเปิดศูนย์ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์เพื่อผู้พิการและศิลปะ หลังจากทรงตอบรับคำเชิญจากพระสหาย ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์[129]

มิถุนายน พ.ศ. 2540 ฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทของพระองค์ถูกนำออกประมูลโดยสถาบันคริสตีส์ในลอนดอนและนิวยอร์ก และรายได้จากการประมูลทั้งหมดถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์กรการกุศล[22]

พระกรณียกิจสุดท้ายอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นพระชนม์ คือ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงพยาบาลนอร์ธวิกพาร์ก กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2540[22]

พระราชกิจในด้านต่าง ๆ

ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์

ไดอานา (ในชุดสูทสีขาว) ขณะมีพระปฏิสันธานกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง นางฮิลลารี คลินตัน ที่ทำเนียบขาว เมื่อ พ.ศ. 2540

เจ้าหญิงไดอานาทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ พ.ศ. 2525[130] เป็นต้นมา ใน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดศูนย์บริการสุขภาพเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์แลนด์มาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน[131][132] พระองค์ทรงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสร่างกายผู้ป่วยเอดส์ ทั้งที่การแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านทางการสัมผัส[108][133][134] เจ้าหญิงจึงถือเป็นสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษพระองค์แรกที่ทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเอดส์[130] ทรงพยายามลบล้างความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ โดยทรงกุมมือผู้ป่วยโรคเอดส์คนหนึ่งในระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2530 ทรงมีรับสั่งในเวลาต่อมาว่า “ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีไม่ได้น่ากลัวอย่างหลายคนคิด เราสามารถจับมือและโอบกอดพวกเขาได้ สวรรค์เท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพวกเขาต้องการ ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถอยู่อาศัยในบ้านเดียวกันร่วมกับผู้ป่วยได้ ทำงานในสถานที่เดียวกันได้ ตลอดทั้งใช้สนามเด็กเล่นและของเล่นร่วมกันได้อีกด้วย”[103][135][136] เจ้าหญิงไดอานาทรงไม่พอทัยเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่โปรดให้พระองค์ทรงงานการกุศลเกี่ยวผู้ป่วยเอดส์ พร้อมทั้งทรงแนะนำให้เจ้าหญิงเลือกปฏิบัติพระราชกิจที่ “น่าอภิรมย์” มากกว่านี้[130]

ตุลาคม พ.ศ. 2533 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดแกรนด์มาส์เฮาส์ ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์เพื่อเยาวชนที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา[137] และยังเคยเป็นองค์อุปถัมภ์กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลมิดเดิลเซ็กส์ และได้ทรงกอดผู้ป่วยคนหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งกลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในเวลาต่อมา ระหว่างที่ทรงให้การอุปถัมภ์องค์การเทิร์นนิงพอยท์[103] ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข และใน พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงมีโอกาสเสด็จฯ ไปเยี่ยมชนโครงการของเทิร์นนิงพอยท์เพื่อผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและและผู้ป่วยเอดส์[138] ต่อมาทรงริเริ่มการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อรักษาโรคเอดส์[19]

มีนาคม พ.ศ. 2540 เสด็จฯ เยือนประเทศแอฟริกาใต้ และทรงเข้าพบประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา[139][140] 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 นายแมนเดลามีถ้อยแถลงว่า กองทุนเนลสัน แมนเดลา เพื่อเด็กและเยาวชนจะร่วมงานภารกิจกับกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อย่างรุนแรงในประเทศแอฟริกาใต้ โดยจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยและเยาวชนในที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้ายนี้[141] และเขายังระบุว่า ไม่กี่เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงทรงมีแผนที่จะผนวกสององค์กรเพื่อทำงานการกุศลด้านโรคเอดส์ร่วมกัน แมนเดลายังกล่าวถึงเจ้าหญิงผู้ล่วงลับว่า “เมื่อพระองค์ทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคเรื้อหรือทรงประทับบนเตียงร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ชายรายหนึ่งพร้อมทรงกุมมือให้กำลังใจเขา พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงความคิดสาธารณชนและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อ” แมนเดลายังกล่าวว่าเจ้าหญิงทรงใช้สถานะและชื่อเสียงของพระองค์เพื่อขจัดอคติที่มีต่อผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์[141][142]

การต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด

พระองค์ทรงมีความสนใจด้านต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดจากการที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรฮาโลทรัสต์ ซึ่งทำหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือในพื้นที่ที่เคยเกิดสงคราม[143][144] เดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ภาพข่าวเจ้าหญิงในชุดเกราะและหน้ากากป้องกันแรงอัดระหว่างเสด็จฯ ไปเขตพื้นที่ทุ่นระเบิดในประเทศแองโกลา ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก[143][144] ระหว่างการเสด็จฯ เยือนแองโกลา แต่ขณะเดียวกับพระองค์ทรงถูกวิจารณ์ว่ากำลังเข้าไปแทรกแซงการเมืองและเป็น ”ตัวอันตราย”[145] ท่ามกลางกระแสวิจารณ์องค์กรฮาโลทรัสต์ได้ออกมาชี้แจงว่า พระกรณียกิจของไดอานากระตุ้นให้นานาชาติตระหนักถึงผลเสียหายร้ายแรงจากการใช้ทุ่นระเบิดและผู้ที่ได้บาดเจ็บจากอาวุธสงครามชนิดนี้[143][144]

มิถุนายน พ.ศ. 2540 พระองค์ทรงขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมเรื่องทุ่นระเบิด ซึ่งจัดขึ้น ณ สมาคมภูมิศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมรณรงค์โครงการต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดของสภากาชาดอเมริกา[22] และในระหว่างวันที่ 7–10 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เพียงไม่กี่วันก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เพื่อให้กำลังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด [22][146][147][148] พระราชกิจการต่อต้านทุ่นระเบิดของพระองค์นั้นเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง โดยเห็นได้ชัดจากการที่นานาประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญาออตตาวา เพื่อการยกเลิกใช้ทุ่นระเบิดในภาวะสงคราม และต่อมาสภาสามัญชนแห่งรัฐสภาอังกฤษก็ได้ผ่านร่างกฎหมายต่อต้ารการใช้ทุ่นระเบิดเมื่อ พ.ศ.​ 2542[149]

แครอล เบลลามี ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า พื้นทุ่นระเบิดยังคงเป็นอันตรายต่อเด็กน้อยไร้เดียงสาทั่วโลก และเธอเสนอให้กลุ่มประเทศที่ผลิตและสะสมทุ่นระเบิดในคลังสรรพาวุธ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย เกาหลีเหนือ ปากีสถาน และรัสเซีย เข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านทุ่นระเบิด[150]

ปลายปี พ.ศ. 2540 โครงการต่อต้านทุ่นระเบิดสากลที่พระองค์ทรงร่วมรณรงค์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หลังจากที่สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือน[151] 

เจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ ไปเปิดศูนย์ชุมชนเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530

ผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การเสด็จพระราชดำเนินไปสถาบันเฉพาะทางด้านโรงมะเร็งครั้งแรกอย่างเป็นทางการของพระองค์ คือการเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดน เอ็นเอชเอสฟันเดชันทรัสต์ กรุงลอนดอน ใน พ.ศ. 2525[152]  และพระองค์ทรงมอบเงินจำนวนหนึ่งที่ได้จากการประมูลฉลองพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2540 ให้แก่โรงพยาบาลแห่งนี้[152] ผู้จัดการกองทุนโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดนกล่าวถึงพระองค์ว่า “เจ้าหญิงทรงขจัดอคติและทัศนคติที่ไม่ดีของโรคร้าย เช่น โรคเอดส์ เชื้อเอชไอวี และโรคเรื้อน"[152] และทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดนตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2532[153][154][155] ในเวลาต่อมาเสด็จฯ มาเปิดแผนกผู้ป่วยมะเร็งเด็กวูล์ฟสันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536[153]

 มิถุนายน พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองชิคาโกในฐานะประธานโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน เพื่อทรงร่วมงานระดมทุนการกุศลและทรงจัดหาทุนได้มากถึง 1 ล้านปอนด์เพื่อการค้นคว้าวิจัยการรักษาโรงมะเร็ง[103] และเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงตอบรับคำเชิญของแคเธอริน เกรแฮม และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์นีนา ไฮด์ เพื่อการวิจัยมะเร็งทรวงอก[156] และพระองค์ยังเสด็จฯ ไปร่วมงานระดมทุนประจำปีสำหรับศูนย์วิจัยมะเร็งแห่งนี้ด้วย ซึ่งมีสำนักพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน[19][157]

เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดมูลนิธิชิลเดรนวิธลูคีเมียอย่างเป็นทางการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิชิลเดรนวิธแคนเซอร์ยูเค) เพื่อเป็นการรำลึกถึงเยาวชนที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อปี พ.ศ. 2531[158][159][160] ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 ไม่กี่วันหลังจาก เจ้าหญิงทรงได้พบกับพ่อและแม่ของจีน[159][160] โอกอร์แมน เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของจีนและพี่ชายของเธอในเวลาไล่เลี่ยกันสร้างความสะเทือนใจให้พระองค์เป็นอันมาก และทรงมอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวโอกอร์แมนเพื่อจัดตั้งมูลนิธิด้วย[158][159][160] มูลนิธิดังกล่าวมีพิธีเปิดอย่างทางการเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2531 ที่โรงเรียนมัธยมมิลล์ฮิลล์ โดยพระองค์เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิด และทรงบริจาคเงินแก่มูลนิธิแห่งนี้จนกระทั่งทรงสิ้นพระชนม์[158][160]

พระราชกิจด้านอื่น ๆ

พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อนในอินโดนีเซีย[161][130] หลังจากนั้นไม่นานทรงให้การอุปถัมภ์พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน ซึ่งองค์การกุศลที่ให้ความช่วยเหลือและการรักษาทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน และพระองค์ทรงสนับสนุนองค์การแห่งนี้จนสิ้นพระชนม์[126] นอกจากนี้เจ้าหญิงยังเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลโรคเรื้อนในอีกหลายแห่งทั่วโลกในประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย เนปาล ซิมบับเว และไนจีเรีย[103][162] และทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน ทั้งที่ ณ เวลานั้นผู้คนไม่กล้าแตะต้องตัวผู้ป่วยเพราะความเข้าใจที่ผิดว่าโรคเรื้อนสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส[103][161] พระองค์ทรงตรัสถึงการเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อนว่า “ฉันคิดคำนึงอยู่ตลอดในเรื่องการสัมผัสตัวผู้ป่วยโรคเรื้อน จึงได้พยายามใช้วิธีอย่างง่าย ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังโดนหยามเหยียดหรือเป็นที่รังเกียจ"[162]

หลังจากสิ้นพระชนม์ ศูนย์สุขศึกษาไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในเมืองนอยดา ประเทศอินเดีย มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.​2542 โดยศูนย์ดังกล่าวนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกเป็นพระเกียรติคุณของพระองค์ และเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคเรื้อนและภาวะทุพพลภาพ ศูนย์แห่งนี้ได้รับเงินทุนก่อตั้งโดยกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์[162]

เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์กรเซ็นเตอร์พอยท์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535[163][164] องค์กรแห่งนี้ให้การช่วยจัดหาที่อยู่และช่วยเหลือคนไร้บ้านในอังกฤษ พระองค์ทรงให้กำลังใจแก่เยาวชนเร่ร่อนและทรงตรัสว่า “พวกเขาสมควรได้โอกาสเพื่อเริ่มต้นชีวิตที่ดีอีกสักครั้ง” [165]“พวกเรา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ควรตระหนักว่า เยาวชนของเรา ผู้ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศนี้ สมควรได้รับโอกาสอีก”[165] เจ้าหญิงไดอานาทรงมักพาเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อไปเยี่ยมศูนย์เซ็นเตอร์พอยท์[165][19] เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในศูนย์แห่งนี้เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เยาวชนในศูนย์ทุกคนรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก เพราะทุกครั้งพระองค์เสด็จฯ เจ้าหญิงทรงไม่เสแสร้งและไม่ถือพระองค์แต่อย่างใด[166] ปัจจุบันเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์การเซ็นเตอร์พอยท์[163]

เจ้าหญิงทรงให้การสนับสนุนมูลนิธิและองค์การกุศลที่ช่วยเหลือสังคมและให้บริการทางสุขภาพจิต เช่น รีเลตและเทิร์นนิงพอยท์[103] รีเลตเป็นองค์การก่อตั้งขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2530 จากเดิมเคยเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ และเจ้าหญิงทรงให้ความอุปถัมภ์องค์การรีเลตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532[103]เทิร์นนิงพอยท์ คือ องค์การที่ดูแลด้านสาธารณสุขที่ให้การบำบัดช่วยเหลือแก่ผู้ติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต พระองค์ทรงเริ่มให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2530[103] และได้เสด็จฯ มาเยี่ยมผู้เข้ารับการบำบัดที่องค์การแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ทรงกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ พ.ศ. 2533 ที่องค์การเทิร์นนิงพอยท์ ดังนี้ว่า "เราต้องใช้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์พูดจาหว่านล้อมสังคมที่หวาดกลัวให้ยอมรับบุคคล ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความวิกลจริตกลับเข้าสู่สังคม ตลอดจนผู้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทและอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยถูกผลักไสให้พ้นไปจากสังคมสมัยวิกตอเรีย"[103]

แม้ว่าจะทรงประสบความยุ่งยากในการเดินทางไปประเทศกลุ่มมุสลิม แต่ภายในปีเดียวกัน พระองค์ก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศปากีสถาน เพื่อทรงเยี่ยมศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงลาฮอร์ เพื่อเป็นนัยบ่งบอกว่าการต่อต้านการใช้สารเสพติดคือหนึ่งในพระราชกิจหลัก[103]

ใกล้เคียง

ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานา คิง ไดอานา รอสส์ ไดอานา ครอลล์ ไดอานา (ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า) ไดอานา เวลสลีย์ ดัชเชสแห่งเวลลิงตัน ไดอานา (แก้ความกำกวม) ไดอานา อัลวาเรช เปเรย์รา เดอ เมโล ดัชเชสที่ 11 แห่งคาดาวัล ไดอาน่า จงจินตนาการ ไดอาน่า แรนด์

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ http://www.haypost.am/view-lang-eng-product-591.ht... http://www.marieclaire.com.au/gallery/fashion/cann... http://www.news.com.au/heraldsun/story/0,21985,230... http://www.azermarka.az/en/search.php?misc=search&... http://canadiancrown.gc.ca/eng/1331832099895#a4 http://www.huffingtonpost.ca/2016/05/10/iconic-can... http://bbc.adactio.com/politics97/diana/blunt.html http://www.aparchive.com/metadata/UK-Various-Queen... http://www.apnewsarchive.com/1990/Prince-Charles-P... http://www.bbc.com/news/uk-38508089